วันพุธ, มิถุนายน 17, 2552

FOOD THAT MAKE YOU SICK

FOOD
THAT MAKE
YOU SICK

เมื่อร่างกายเจ็บป่วย คนเราต้องการยาและสารอาหารจากแหล่งอาหารต่างๆ มาช่วยทำให้อาการเจ็บป่วยนั้นบรรเทาลง อย่างไรก็ตาม ยังมีบางกลุ่มอาหารที่ไม่เหมาะที่จะกินตอนป่วย เพราะจะยิ่งทำให้อาการเจ็บป่วยนั้นสาหัสมากขึ้น
มีไข้สูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารไม่สุก อาหารทอด อาหารมัน ซึ่งย่อยยาก ทำให้เกิดความร้อนสะสมอยู่ภายในร่างกาย เป็นผลทำให้ความร้อนในร่างกายไม่ระบายออกไปซะที ทางที่ดีควรดื่มน้ำอุ่นๆ ให้มากและทานอาหารอ่อนๆ ที่ปรุงสุกใหม่ๆ

โรคกระเพาะ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ทางที่ดีควรรับประทานอาหารน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง รับประทานอาหารให้ตรงเวลา และเป็นอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ผัก ปลา

โรคความดันโลหิตสูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอสูง รวมทั้งสุรา เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกาย มีผลทำให้เกิดความหนืดของระบบการไหลเวียนของโลหิตในร่างกาย กระตุ้นให้ความดันสูง

โรคตับ และถุงน้ำดี หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอด อาหารหวานจัด เพราะแพทย์จีนถือว่า ตับและถุงน้ำดีมีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร การกินอาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไปจะทำให้สมรรถภาพการย่อยอาหารอ่อนแอและก่อให้เกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง

โรคหัวใจและโรคไต ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด เพราะจะทำให้มีการกักเก็บน้ำการไหลเวียนเลือดจะช้า ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ส่วนอาหารรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะทำให้กระตุ้นการไหลเวียน สูญเสียพลังงาน และหัวใจก็ทำงานหนักมากขึ้นเช่นกัน

โรคเบาหวาน หลีกเลี่ยงอาหารรสหวาน หรือแป้งที่มีแคลอรี่สูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ควรรับประทานอาหารพวกถั่ว เช่นเต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด ให้มาก

โรคนอนไม่หลับ หลีกเลี่ยงชา กาแฟ รวมทั้งการสูบบุหรี่ เพราะสิ่งทั้งหมดเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน หรือนอนหลับไม่สนิท

โรคริดสีดวงทวาร หรือท้องผูก หลีกเลี่ยงอาหารประเภทหอม กระเทียม ขิงสด พริก พริกไทย เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้ท้องผูกและหลอดเลือดดำอักเสบ และอาการริดสีดวงทวารกำเริบ นอกจากนี้ยังควรกินอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ต่างๆ อาหารมันๆ แต่ทานเล็กน้อย และบริโภคผักและผลไม้เป็นประจำ รวมทั้งดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว

โรคภูมิแพ้ ลมพิษ ผิวหนังอักเสบ หรือโรคหอบหืด ควรหลีกเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ นม และอาหารรสเผ็ด เพราะจะไปกระตุ้นและทำให้อาการทางผิวหนังกำเริบ

FREE FROM HEADACHE ก่อนที่จะพึ่งยา (พาราเซตามอล) แก้ปวดหัว

FREE FROM HEADACHE

ก่อนที่จะพึ่งยาแก้ปวดจำพวก พาราเซตามอล หรือแอสไพริน เราลองมาแก้อาการปวดหัวด้วยการพึ่งตัวเองก่อนดีกว่าไหม
- นอนหลับสักงีบอาจช่วยให้อาการปวดหัวดีขึ้น
- ไม่ว่าจะยืนหรือนั่ง ต้องให้หลังและคอตั้งตรงไว้เสมอ พยายามหลีกเลี่ยงการเอนศีรษะไปด้านใดด้านหนึ่ง
- ประคบร้อนหรือเย็นบริเวณหน้าผากและต้นคอก็ช่วยได้ ขอแนะนำว่าความร้อนห้ามใช้กับคนปวดหัวไมเกรน หรือคนปวดหัวเพราะความดันโลหิตสูง
- หายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกช้าๆ เหมือนเวลาคลายเครียดหรือดับความโกรธ
- นวดและกดเพื่อบรรเทาอาการปวดหัว บริเวณต้นคอ ไหล่ และหลัง
- ประคบดวงตาด้วยผ้าชุบน้ำเย็น เพราะอาจเกิดจากตาเพลียที่ต้องต่อสู้กับแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน
- ดื่มกาแฟดำสักแก้วอาจช่วยได้ แต่อย่าดื่มมากไปเพราะอาจทำให้นอนไม่หลับแทน
- รับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อ เพราะการอดอาหารอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง เส้นเลือดในสมองหดตัว เมื่อทานอาหารมื้อต่อไปจะทำให้เส้นเลือดขยายจนเกินไปอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวได้
- งดอาหารบางชนิด เช่น อาหารรสเค็มที่ใส่เกลือมากๆ อาหารที่ใส่ผงชูรส ช็อกโกแลต เนยแข็ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทได้ดี และมลพิษน้อยที่สุด

KEEP MADNESS AWAY ระงับอารมณ์ร้าย

KEEP MADNESS AWAY
บ่อยครั้งที่เราอารมณ์เสียแล้วก็มักจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้ไม่ได้ สิ่งเหล่านี้น่ากลัวไม่น้อยเลย ทั้งต่อบุคลิกภาพของเรา และยังส่งผลให้เสียสุขภาพจิตด้วย เรามาหาวิธีการระงับความโกรธแบบง่ายๆ กันดีกว่า
1. หลีกเลี่ยง ซึ่งไม่ได้แปลว่าคุณขี้ขลาด หรือกลัว แต่หมายถึงการแสดง EQ ที่ดี ที่สามารถระงับอารมณ์โกรธได้
2. หาที่ปรึกษา เพื่อเปิดอกระบายเรื่องที่อัดอั้นตันใจ
3. หัวเราะชนะความโกรธ เพราะการหัวเราะนั้นทำให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวแจ่มใสขึ้นทันตา
4. น้ำตาชนะทุกอย่าง การร้องไห้นั้นเป็นการระบายความเครียด รวมทั้งระบายความโกรธได้ดีอีกทางหนึ่ง
5. ร้องเพลง การร้องเพลงจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี
6. หากิจกรรมดีๆ ทำ เพื่อช่วยให้ลืมเรื่องกวนใจที่เกิดขึ้น ให้สมองได้พักผ่อนอยู่กับสิ่งที่คุณชอบจะดีกว่า
7. นอนหลับ เวลาที่คนเราโกรธจะรู้สึกปวดหัว รับรองว่าถ้าคุณได้นอนหลับเอาแรงสักงีบ เมื่อคุณตื่นขึ้นมา คุณจะต้องรู้สึกดีอย่างแน่นอน
8. รู้จักอภัย ฟังดูแล้วอาจจะเป็นคุณหนูผู้แสนดีไปนิด แต่ต้องลองทำ แล้วคุณจะรู้ว่าการให้อภัย นอกจากจะเป็นการให้โอกาสคนอื่นแล้ว ยังทำให้เราสบายใจขึ้นได้อีกด้วย

8 ช้อนชาที่ไม่ควรบริโภค

8 ช้อนชา
คือปริมาณน้ำตาลที่ไม่ควรบริโภคเกินนี้ใน 1 วัน แต่ปัจจุบันพบว่า คนไทยกินน้ำตาลทราย 29.2 กิโลกรัมต่อปี หรือมากถึงวันละ 20 ช้อนชา ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจเป็นอย่างมาก

วันจันทร์, มิถุนายน 08, 2552

เบต้าแคโรทีน* ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มี เบต้าแคโรทีน*

ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มี เบต้าแคโรทีน* สูงคือ

มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
มะเขือเทศราชินี
มะละกอสุก
กล้วยไข่
มะม่วงยายกล่ำ
มะปรางหวาน
แคนตาลูปเนื้อเหลือง
มะยงชิด
มะม่วงเขียวเสวยสุก
สับปะรดภูเก็ต


*เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ(โปรวิตามินเอ) มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ทั้งนี้ โดยปกติร่างกายของมนุษย์เราสามารถเปลี่ยนเบต้าแคโรทีนไปเป็นวิตามินเอได้ตามปริมาณที่ร่างกายต้องการ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เสมือนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ(แอนตี้ออกซิเดนท์) ด้วย

สำหรับขนาดรับประทานของวิตามินเอเพื่อรักษาสุขภาพโดยทั่วไปคือ 5,000 หน่วยสากล(IU) ซึ่งเทียบเท่ากับเบต้าแคโรทีน 3 มิลลิกรัม และสำหรับปริมาณที่สมเหตุสมผลของเบต้าแคโรทีนที่แนะนำให้รับประทานต่อวันเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรงคือ 15 มิลลิกรัม ในขณะที่การรับประทานเพื่อหวังผลในรักษาจะต้องได้รับในปริมาณมากกว่านี้

เบต้าแคโรทีนมีในพืชสีเหลืองและสีส้ม ทั้งแครอต ฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน แตงโม แคนตาลูป มะละกอสุก และผักที่มีสีเขียวอย่างบร็อกโคลี่ มะระ ผักบุ้ง ต้นหอม ผักคะน้า ผักตำลึง เป็นต้น (เหตุที่มีสีเขียวเพราะสีของเบต้าแคโรทีนถูกสีเขียวของคลอโรฟิลล์บดบัง)

เบต้าแคโรทีนนับเป็นสารอาหารที่มีบทบาทสำคัญสำหรับสุขภาพของมนุษย์ อย่างไรก็ตามไม่พบว่ามีรายงานของการขาดเบต้าแคโรทีนเลย แม้ว่าการวิจัยจำนวนมากจะระบุว่า การเสริมด้วยเบต้าแคโรทีนใช้ในคนที่มีอาการขาดวิตามินเอ แต่ก็ยังคงไม่มีข้อมูลแน่ชัดที่แสดงถึงอาการขาดเบต้าแคโรทีน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์และนักโภชนาการแนะนำว่าเราควรรับประทานเบต้าแคโรทีนเข้าสู่ร่างกายโดยการบริโภคผักสดและผลไม้สด

วันเสาร์, มิถุนายน 06, 2552

ซึนามิ รีเทิร์น





“Hello there. I just wanted 2 let you know that please stay away from the beaches all around in the month of July. There is a prediction that there will be another tsunami hitting on July 22nd. It is also when there will be sun eclipse. Predicted that it is going 2 be really bad and countries like Malaysia (Sabah & Sarawak), Singapore, Maldives, Australia, Mauritius, Si Lanka, India, Indonesia, Philippines are going 2 be badly hit. Please try and stay away from the beaches in July. Better 2 be safe than sorry. Please pass the word around. Please also pray for all beings.”
เค้าเขียนเตือนมาว่าให้อยู่ห่างจากทะเลในรอบเดือนกรกฏาคมนี้ เนื่องจากจะมีเหตการณ์ซึนามิอีกครั้งในวันที่ 22 กรกฏาคม และในเวลานั้นดวงอาทิตย์จะถูกปิดบังรัศมี ทำนายไว้ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายมากและประเทศต่างๆ เช่น มาเลย์เซีย (ซาบาห์และซาราวัค) , สิงคโปร, มัลดีฟ, ออสเตรเลีย, เมารีทัส, ศรีลังกา, อินเดีย, ฟิลลิปปินส์ จะถูกโจมตีอย่างหนัก
กรุณาอยู่ให้ห่างจากทะเลในช่วงเดือนกรกฏาคมดังกล่าวด้วย ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าจะเกิดโศกนาฏกรรม
กระจายข่าวไปกันให้ทั่วน่ะค่ะ
และโปรดช่วยกันสวดภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง