วันอังคาร, ตุลาคม 23, 2555

ปรับไบออส เพิ่มพลังให้ Core i5

การจะปรับแต่งไบออสให้ได้ผลอย่างรวดเร็วนั้น ต้องอาศัยการปรับบัสและเมมโมรีเป็นส่วนใหญ่ เพราะทั้ง 2 ส่วนนี้ ทำงานสอดคล้องกัน ปรับแต่งง่ายและไม่ส่งผลกระทบต่อระบบมากนัก แม้ว่าจะปรับค่าผิดไปบ้าง
การปรับแต่งไบออสมีผลทำให้เครื่องมีประสิทธิภาพในการทำงานที่สูงขึ้น ที่สำคัญเราสามารถทำการปรับแต่งไบออส เพื่อรีดพลังออกอย่างเต็มที่ วิธีการปรับแต่งก็เพียงเปิดเครื่อง แล้วกดปุ่ม F2 ขณะที่กำลังบูต เพื่อเข้าสู่หน้าของไบออสสำหรับการปรับแต่ง แล้วมาที่แท็บเมนู Configuration


1.Performance Tuning เป็นหัวข้อที่นำมาแนะนำในวันนี้ โดยเมนูดังกล่าวเปรียบได้กับเมนู Overclock ที่อยู่บนเมนบอร์ด ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็จะมีชื่อเรียกเมนูนี้แตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็มีจุดประสงค์หลักเดียวกันคือ เพื่อการปรับโอเวอร์คล็อก ส่วนจะมีเมนูการปรับแต่งมากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับว่ามีการออกแบบสำหรับโอเวอร์คล็อกในระดับใด แต่สำหรับเมนบอร์ด Intel ที่ใช้ในครั้งนี้ ก็ถือว่ามีความสามารถในการโอเวอร์คล็อกในเกณฑ์ที่ดีทีเดียว


2.Host Clock Frequency Overdrive : เมนูสำหรับเปิด-ปิดโหมดการปรับสัญญาณนาฬิกา (Core Speed) ของซีพียูเช่น ซีพียูมีความเร็ว 3.6GHz เกิดจากค่า Bus Speed x Multiplier (133MHz x 27) ซึ่งเป็นตามสเปกเดิมของซีพียูจากการผลิต หากเลือกเป็น Automatic  ซีพียูก็จะทำงานที่ความเร็วดังกล่าวนี้อัตโนมัติ แต่ถ้าเลือกเป็น Manual เราก็จะปรับเพิ่มค่า Bus speed เพื่อเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาซีพียูได้เอง ในภาพก็เมนูเพิ่มขึ้นตามมาคือ Host Clock Frequency ซึ่งก็คือค่า Bus speed ของซีพียูนั่นเอง


3.Processor Overdrive  : เมนูปรับแต่งความเร็วซีพียูโดยละเอียด ซึ่งจะเน้นไปที่การเพิ่มไฟเลี้ยงให้กับซีพียู มีผลต่อการปรับแต่งเพิ่มความเร็วเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อซีพียูทำงานที่ความเร็วสูงกว่าปกติก็ย่อมมีความต้องการใช้พลังงานมากกว่าปกติด้วยเช่นกัน


4.Intel Turbo Boost Technology : เปิด-ปิดการทำงานของ Intel Turbo Boost Technology และที่ด้านล่างก็มีบอกในส่วนของค่ากระแสไฟและกำลังไฟสูงสุดที่รับได้เมื่อเปิดใช้ Intel Turbo Boost Technology

5.เป็นการตั้งค่าหน่วยความจำหรือค่าเวลาในกระบวนการอ่าน-เขียนข้อมูลของหน่วยความจำในหนึ่งรอบการทำงาน ยิ่งมีค่าต่ำมากเท่าไหร่ยิ่งดี การปรับแต่งก็เริ่มต้นจากค่าตามสเปกปรับลดลงไป หากใช้ที่ความเร็วเดิมก็อาจจะสามารถปรับค่า CL ลดไปได้ต่ำกว่าสเปกเล็กน้อย แต่ในปัจจุบันจะนิยมใช้ที่ความเร็วสูงขึ้นแต่ปรับรักษาระดับค่า CL ให้คงอยู่ตามสเปกเดิมมากกว่า ซึ่งก็ถือว่าดีมากแล้ว


6.ขั้นตอนสุดท้ายเป็นการตั้งค่าระบบ Speed fan ซึ่งมีความสำคัญในการจัดการและดูแลซีพียูและการปรับแต่งในส่วนนี้ มีผลอย่างยิ่งต่ออุณหภูมิและลดเสียงรบกวนของพัดลม
CPU FAN Control :  เลือกเปิด-ปิดฟังก์ชันการควบคุมความเร็วรอบของพัดลมซีพียู
System FAN Control :  เลือกเปิด-ปิดฟังก์ชันการควบคุมความเร็วรอบของพัดลมในระบบ
Lowest FAN Speed : ปรับตัวค่าความเร็วรอบของพัดลม
Front/ Rear /Aux FAN Type : เลือกชนิดของพัดลมที่ใช้ว่าเป็นชนิดใด จากสายไฟที่ออกมาจากตัวพัดลม
Tips
1.หากต้องการโอเวอร์คล็อกแบบจริงจัง ต้องให้ความสำคัญในการระบายความร้อน
2.การโอเวอร์คล็อกซีพียู ควร Disable Enhance Intel SpeedStep และ CPU C-State
3.ค่าแรงดันไฟ ค่อนข้างอันตราย ควรใส่ใจในการปรับแต่ง

คอมมาร์ต คอมเทค ไทยแลนด์ 2012 ยกทัพสินค้าไอทีรุ่นใหม่กระหน่ำโปรโค้งสุดท้ายปลาย

     เออาร์ไอพี กระหึ่มตลาดไอทีโค้งสุดท้ายของปี สยายปีกกลุ่มสินค้าสู่แท็ปเล็ตและสมาร์ทโฟน จัด  “คอมมาร์ต คอมเทค ไทยแลนด์ 2012”  ขนขบวนสินค้าไอทีรุ่นใหม่ที่ทุกคนต่างรอคอย มาเปิดตัวและวางจำหน่ายมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ อาทิ แท็บเล็ตไฮบริด แท็บเล็ตลูกผสมใช้งานเสมือนโน้ตบุ๊กมาพร้อมหน้าจอแบบทัชสกรีน มีให้เลือกมากกว่า 30 รุ่น สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดกว่า 20 รุ่น อาทิ ไอโฟน 5 จากทุกค่ายจำหน่ายในงานกว่า 1,000 เครื่องต่อวัน พบโซนพิเศษที่จัดโชว์เฉพาะสินค้าตระกูลทัช อาทิ แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน และสมาร์ททีวี โดยงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 - 18 พฤศจิกายน 2555      เวลา 10.00 - 20.00 น. ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์


     โรงแรมแกรนด์เซ็นเตอร์พอยท์ สุขุมวิท เทอมินอล 21  :  17 ตุลาคม 2555        นายปฐม อินทโรดม กรรมการบริหารและผู้จัดการทั่วไป บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ผู้จัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าไอทีภายใต้ชื่อ “คอมมาร์ต” กล่าวว่า เออาร์ไอพี ร่วมกับบริษัทคู่ค้าไอทีชั้นนำทั้งในและต่างประเทศจัดงานแสดง และจำหน่ายสินค้าไอที “คอมมาร์ต คอมเทค ไทยแลนด์ 2012” ภายใต้แนวคิด “Let’s Touch IT : โลดแล่นไปกับเทคโนโลยีที่คุณเป็นเจ้าของได้” งานคอมมาร์ตครั้งนี้จะพิเศษสุด เพราะเป็นเวทีงานแสดงสินค้าที่ขนสินค้ารุ่นใหม่ๆ มาให้สาวกไอทีได้สัมผัสและเป็นเจ้าของก่อนใคร ไม่ว่าจะเป็น ไอโฟน5, Samsung Galaxy Note2, HTC One X+, HTC One VX, LG Nexus 4, Nokia Lumia 920, Nokia Lumia 820 (Windows phone 8) และการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของวินโดวส์ 8 ที่มาพร้อมกับอุปกรณ์พร้อมใช้งานแบบหน้าจอทัชสกรีน ที่มีให้เลือกมากกว่า 30 รุ่น และสินค้าไอทีอื่นๆ อีกมากมาย หวังกระตุ้นยอดขายตลาดไอทีในช่วงปลายปี


     “งานคอมมาร์ต คอมเทค 2012 จะแตกต่างกว่าช่วงต้นปีและกลางปีอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากตลาดไอทีในไตรมาส 3 ชะลอการเปิดตัว ซึ่งก็ส่งผลให้การจัดงานคอมมาร์ต ในครั้งนี้ จะโดดเด่น และลงตัวทั้งเรื่องเวลา และสินค้ารุ่นใหม่ๆ ที่จะมีให้เลือกครบและกระหน่ำโปรโมชันแบบไม่อั้น เนื่องจากผู้ขายสินค้าอยากจะทำตลาดและปิดยอดขายปลายปีให้มากที่สุด และคาดว่าจะมีผู้สนใจเข้าชมงานและซื้อสินค้าไอทีจำนวนมากเหมือนเช่นทุกงานที่ผ่านมา เพราะงานคอมมาร์ตสามารถตอบโจทย์ให้กับลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมายไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา คนทำงาน หรือกลุ่มธุรกิจ พิเศษสุดงานนี้ได้เพิ่ม Commart app แอปพลิเคชันรูปแบบใหม่ที่ป้อนข้อมูลผ่านอุปกรณ์สมาร์ทโฟน เพียงกดแอปพลิเคชันคอมมาร์ต ก็จะสามารถเช็คราคาสินค้า โปรโมชันสินค้า หรือผังงานทั้งหมดได้ทันที สร้างความสะดวกให้กับผู้เข้าชมงาน”  นายปฐม กล่าว


     นายปฐมกล่าวต่อว่า ในส่วนเทคโนโลยีที่นำมาจัดแสดงในงานคอมมาร์ต คอมเทค ไทยแลนด์ 2012 ครั้งนี้ จะเน้นเทคโนโลยีล่าสุด นอกจากสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต โน้ตบุ๊ค อัลตร้าบุ๊ก หลากหลายยี่ห้อที่ขนขบวนกันมาพร้อมระบบปฎิบัติ วินโดวส์ 8 พร้อมแอปพลิเคชันใหม่ๆจุใจแล้ว ยังมีสมาร์ททีวีระบบอัจฉริยะที่สามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต เช่น Google TV , Apple TV , Windows TV และเทคโนโลยี 3D , กล้องที่เชื่อมต่อกับ  wi-fi  สามารถอัพโหลดภาพได้ทันที และยังมีการจัดกิจกรรมเสวนา Workshop ที่น่าสนใจ โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น อาทิ สร้างสีสันลากเส้นสายกับ Samsung Galaxy Note 10.1, โหลดบิทให้ไว ด้วย Wireless Router และเก็บช็อตเด็ด เคล็ดลับมือโปร
สำหรับบริษัทไอทีชั้นนำ และพันธมิตรที่เข้าร่วมสนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการในการจัดงาน  “คอมมาร์ต คอมเทค ไทยแลนด์ 2012” ครั้งนี้ ประกอบด้วย   บริษัท อินเทล   ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด , บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด , บริษัท   โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด, บริษัทเดล คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด , บริษัท    โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) , บานาน่าไอที (บริษัท คอมเซเว่น อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด) และมหาวิทยาลัยศรีปทุม



กูเกิ้ลเปิดตัวแท็บเล็ต 99 ดอลล์ปลายปีนี้

รายงานข่าวล่าสุด กูเกิ้ล (Google) จะเปิดตัว"แท็บเล็ต"รุ่นใหม่ทีมีราคาถูกแค่ 99 เหรียญฯ หรือประมาณ 3,000 บาท ซึ่งจับตลาดคนละกลุ่มกับแท็บเล็ตไฮเอ็นด์อย่าง Nexus 7 ที่กำลังฮอตสุดขีดในช่วงนี้ อย่างไรก็ดี ในการผลิต"แท็บเล็ต"ราคาประหยัดดังกล่าวจะใช้โพรเซสเซอร์ซิงเกิ้ลคอร์ และไม่ได้ให้เอซุสเป็นผู้ผลิต


แหล่งข่าววงในได้ให้ข้อมูลกับดิจิไทมส์ (Digitimes) เว็บไซต์ในไต้หวันว่า กูเกิ้ลน่าจะเตรียมเปิดตัว "แท็บเล็ต" Nexus รุ่นใหม่ที่มีราคาถูกสุดๆ แค่ 99 เหรียญฯ ภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งสำหรับบริษัทที่ร่วมมือกับกูเกิ้ลในการผลิต Nexus แท็บเล็ตราคาถูกนี้จะเป็น Quanta Computer โดยจะใช้โพรเซสเซอร์เป็นแบบ"ซิงเกิ้ลคอร์" และคาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงปลายปีนี้
อย่างไรก็ตาม นอกจากแท็บเล็ต Nexus ราคาถูกแล้ว กูเกิ้ลกำลังเตรียมพัฒนาแท็บเล็ตในตระกูลของทางบริษัทให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่เมื่อวานมีข่าวว่า Apple ประกาศเชิญสื่อเข้าร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่หลายคนคาดเดากันว่า มันน่าจะเป็น iPad mini หรือไอแพดที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 7.85 นิ้ว ซึ่งถูกออกแบบมา เพื่อชนกับ Nexus 7 ของ Google และ Kindle Fire HD ของ Amazon ในช่วงฤดูชอปปิ้งปลายปีนี้โดยเฉพาะ


iPad Mini ตอกย้ำแท็บเล็ตเพื่อการศึกษา

รายงานข่าวล่าสุด iPad Mini (ไอแพด มินิ) แก็ดเจ็ตที่คาดว่า จะเปิดตัวในงานแถลงข่าวของแอปเปิ้ล (Apple) ในวันอังคารที่ 23 ตุลาคม 2012 โดยแหล่งข่าววงในอ้างว่า แอปเปิ้ลจะเปิดตัวไอแพดรุ่นที่ใหม่ที่มีขนาดเล็กกว่า ซึ่งทางบริษัทตั้งใจที่จะให้เป็นแท็บเล็ตสำหรับใช้ในห้องเรียน

แหล่งข่าวไม่ประสงค์ออกนามอ้างว่า เขาทราบแผนการของแอปเปิ้ลเกี่ยวกับงานแถลงข่าวเปิดตัว iPad mini โดยผู้บริหาร Apple จะเน้นย้ำถึงความสามารถในการใช้ไอแพดมินิกับการศึกษา ซึ่งไอแพดขนาดเล็กจะทำให้แอปเปิ้ลสามารถรุกตลาดการศึกษาได้มากกว่าเดิม อันที่จริง iPad ก็ทำให้แอปเปิ้ลกลายเป็นแท็บเล็ตหน้าจอสัมผัสยอดนิยมของนักเรียนนักศึกษาอยู่แล้ว แต่ด้วยราคา 399 เหรียญฯ หรือประมาณ 12,000 บาทสำหรับ iPad 2 อาจจะยังมีราคาที่สูงไปสักนิดสำหรับตลาดนี้ แต่ด้วย iPad mini ที่มีขนาดเล็กว่า และราคาต่ำกว่าจะทำให้พวกมันเจาะตลาดนักเรียนได้ง่ายขึ้น
รายงานข่าวล่าสุดจากบลูมเบิร์กระบุว่า แอปเปิ้ลมีแผนที่จะโฟกัสตลาดการศึกษาด้วย iPad mini ที่จะเปิดตัวในวันอังคารที่ 23 ต.ค. 2012 ในแคลิฟอรืเนีย นอกจากนี้ทาง Apple จะมีการเปิดตัว iBook 3.0 (ปัจจุบันเวอร์ชัน 2.0 โฟกัสฟังก์ชัน Interactive textbook) ทีมุ่งเน้นการใช้ iPad mini กับตลาดการศึกษาด้วย หากเป็นไปตามข่าว งานนี้ ตลาดพีซีที่หดตัวอยู่แล้วอาจจะโดนเจาะยางอีกครั้ง - -"



iPad Mini ต้นทุน 195 ราคา 299 ดอลล์

[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] 23 ตุลาคม 2555 เราก็จะได้ทราบกันแล้ว สิ่งเล็กน้อยที่ Apple ยังอยากจะโชว์คืออะไรกันแน่? แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้สื่อหลายๆ แห่งฟันธงไปแล้วว่า มันคือ iPad Mini ล่าสุดมีรายงานข่าวที่ไปไกลกว่านั้น เมื่อแหล่งข่าวอย่าง KGI Research เปิดเผยต้นทุน และราคาของไอแพดมินิ

จากแหล่งข่าวต่างๆ ที่มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ iPad Mini ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่ภาพหลุด และกำหนดการหลอกๆ ไปจนถึงสเป็กกับราคาที่ไม่มีข้อมูลใดๆ มาใช้อ้างอิง ล่าสุด KGI Research ได้นำเสนอข้อมูลเกียวกับต้นทุนการผลิต iPad Mini อันจะนำมาซึ่งการประเมินราคาที่คาดว่า น่าจะมีความแม่นยำขึ้น โดยต้นทุนของสเป็กเครื่องจะมาจากการรวบรวมจากแหล่งข่าวตั้งแต่หน้าจอ 7.85 นิ้วไปจนถึงการใช้โพรเซสเซอร์ A5 ในการทำงาน ซึ่งสองส่วนนี้เป็นต้นทุนที่สำคัญของไอแพดมินิ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จาก KGI Research ได้มีการเผยแพร่ต้นทุนของเครื่องออกมา โดยมองว่า ข้อมูลนี้จะทำให้เราสามารถประเมินราคาคร่าวๆ ของเครื่องได้แม่นยำขึ้น ตลอดจนความแรงในการทำตลาดของแท็บเล็ตรุ่นนี้
เว็บไซต์ Appleinsider ระบุว่า ข้อมูลจากบริษัทวิจัย KGI Research โดยนักวิเคราะห์ Ming-Chi Kuo เผย iPad Mini จะมีต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 195 - 254 เหรียญฯ (ประมาณ 6,000 - 7,600 บาท) สำหรับไอแพดมินิรุ่น 16GB Wi-Fi ไปจนถึง 64GB LTE โดยตัวเลขนี้มาจากค่าชิ้นส่วนที่ใช้ในการผลิต และค่าแรงในการประกอบ ในขณะที่ราคาเริ่มต้นของไอแพดมินิจะอยู่ที่ 299 เหรียญฯ หรือประมาณ 9,000 บาท ดังนั้นกำไรของไอแพดมินิจึงอยู่ที 35% - 58% เลยทีเดียว ทั้งนี้นักวิเคราะห์ระบุว่า ต้นทุนที่สูงทีสุดคือหน้าจอ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 56.5 เหรียญฯ (ประมาณ 1,700 บาท) และด้วยเทคโนโลยีการออกแบบ และการผลิตที่เหนือกว่า คาดว่า iPad Mini จะบางกว่าไอแพดรุ่นปัจจุบันถึง 18% ด้วยตัวเลขของกำไรต่อเครื่องที่น่าประทับใจขนาดนี้ คงต้องดูว่า หากเปิดตัวพรุ่งนี้จริง อีกทั้งยังมีกำหนดการวางตลาด 2 พ.ย. ศกนี้ คู่แข่งอย่าง Nexus 7 ของ Google และ Kindle Fire ของ Amazon คงต้องงัดไม้เด็ดออกมาสู้อย่างแน่นอน